วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


ธรรมาภิบาล ( Good Governance) คือ การปกครอง การบริหาร การจัดการการควบคุมดูแล กิจการต่าง ๆ ให้เป็นไปในครรลองธรรม นอกจากนี้ยังหมายถึงการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งภาครัฐและเอกชน ธรรมที่ใช้ในการบริหารงานนี้ มีความหมายอย่างกว้าง กล่าวคือ หาได้มีความหมายเพียงหลักธรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่รวมถึง ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และความถูกต้องชอบธรรมทั้งปวง ซึ่งวิญญูชนพึงมีและพึงประพฤติปฏิบัติ อาทิ ความโปร่งใสตรวจสอบได้ การปราศจากการแทรกแซงจากองค์กรภายนอก เป็นต้น

ธรรมาภิบาล เป็นหลักการที่นำมาใช้บริหารงานในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุเพราะ ช่วยสร้างสรรค์และส่งเสริมองค์กรให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพ อาทิ พนักงานต่างทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตและขยันหมั่นเพียร ทำให้ผลประกอบการขององค์กรธุรกิจนั้นขยายตัว นอกจากนี้แล้วยังทำให้บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง ศรัทธาและเชื่อมั่นในองค์กรนั้น ๆ อันจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น องค์กรที่โปร่งใส ย่อมได้รับความไว้วางใจในการร่วมทำธุรกิจ รัฐบาลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและประชาชน ตลอดจนส่งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ เป็นต้น (http://th.wikipedia.org)
สำนักงาน ก.พ. ได้กำหนดไว้โดยได้เสนอเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า หลักธรรมาภิบาลนั้นประกอบด้วย 6 หลักการคือ
1.      หลักคุณธรรม
2.      หลักนิติธรรม
3.      หลักความโปร่งใส
4.      หลักความมีส่วนร่วม
5.      หลักความรับผิดชอบ
6.      หลักความคุ้มค่า
แต่จะเป็นหลักการใดก็ตาม ก็จะเห็นว่าหลักการทั้งหลายล้วนมีจุดมุ่งหมายที่จะรักษา “ความสมดุล”  ในมิติต่างๆไว้ เช่น หลักคุณธรรมก็คือการรักษาสมดุลระหว่างตนเองกับผู้อื่น คือไม่เบียดเบียน ผู้อื่นหรือตัวเองจนเดือดร้อน ซึ่งการที่มีความโปร่งใส เปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม ตรวจสอบ ก็เพื่อมุ่งให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เห็นถึงความสมดุลดังกล่าวว่าอยู่ในวิสัยที่ยอมรับได้ ส่วนหลักความรับผิดชอบ ก็ต้องสมดุลกับเสรีภาพที่เป็นสิ่งที่สำคัญของทุกคน และหลักความคุ้มค่า ก็ต้องสมดุลกับหลักอื่นๆ เช่น บางครั้งองค์การอาจมุ่งความคุ้มค่าจนละเลยเรื่องความเป็นธรรมหรือโปร่งใส หรือบางครั้งที่หน่วยงานโปร่งใสมากจนคู่แข่งขันล่วงรู้ความลับที่สำคัญในการประกอบกิจการ   ความสมดุล หรือ ธรรม จึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของธรรมาภิบาล

(011)

ความหมายของการคลังการคลังเป็นการศึกษาถึงหลักการวิธีการ   จัดหารายรับ (government revenue) การใช้จ่ายของรัฐบาล (government expenditure) หนี้ของรัฐบาลหรือ        หนี้สาธารณะ (government debt or public debt) นโยบายการคลัง (fiscal policy) และการบริหารการคลัง (financial administration) ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ส่งผลต่อการใช้ทรัพยากร ภาวะการบริโภคและการผลิตของประชาชนอย่างรอบด้าน
นโยบายการคลัง
นโยบายการคลัง (
Fiscal Policy) และนโยบายการเงิน (Monetary policy) เป็นนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีความสัมพันธ์กันมากจนยากที่จะแยกออกจากกันได้ แต่ขอแยกอธิบายเพื่อประโยชน์ในการทำความเข้าใจดังนี้
1.นโยบายการคลัง
นโยบายการคลังเป็นนโยบายทางด้านรายรับและรายจ่ายของรัฐบาลรายรับของรัฐบาลได้มาจากการเก็บภาษีอากร เงินกู้และเงินคงคลัง ส่วนรายจ่าย ได้แก่ การใช้จ่ายต่าง ๆ ของรัฐในแต่ละปี รัฐบาลจะประมาณการ รายรับและรายจ่ายของปีต่อไป ไว้ล่วงหน้า เรียกว่า งบประมาณประจำปี การคลังของรัฐบาลจะแตกต่างจากการคลังของเอกชนเพราะการคลังของ รัฐบาลจะกำหนดรายจ่ายเป็นตัวตั้ง ถ้ารายได้ไม่พอกับรายจ่ายหรือขาดดุลการคลังรัฐบาลก็จะ ก่อหนี้มาชดเชยหรือนำเงินคงคลังออกมาใช้ การก่อหนี้สาธารณะ ถ้ารัฐบาลก่อหนี้โดยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มก็จะเป็นการเพิ่มปริมาณเงิน ทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง อาจเกิดภาวะเงินเฟ้อได้ การดำเนินนโยบายการคลังจะมีผลกระทบต่อปริมาณเงินของประเทศด้วย
รายได้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลได้มาจากการจัดเก็บภาษีอากรซึ่งมีผลกระทบต่อ การบริโภค การผลิตสินค้าและการกระจายรายได้ของประชาชน ส่วนการใช้จ่ายต่าง ๆ ของรัฐบาลก็จะมีผลกระทบต่อการผลิต การจ้างแรงงาน และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การดำเนินนโยบายการคลังมีความสำคัญเพราะมีผลกระทบต่อสาธารณะเป็นอย่างมาก43 นโยบายการคลังเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล มักใช้ควบคู่กับนโยบายการเงินเสมอ อย่างไรก็ดี โดยตัวของนโยบายการคลัง อาจเป็นปัญหาสำคัญทาง
เศรษฐกิจได้ถ้ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมรายได้และรายจ่ายให้บังเกิดผลตามที่ต้องการโดยเฉพาะปัญหาในเรื่องการขาดดุลต่าง ๆ
การใช้นโยบายการคลัง และนโยบายการเงินของรัฐบาล มีจุดมุ่งหมายอันเดียวกับนโยบายเศรษฐกิจ คือ ต้องมีการให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการจัดสรรทรัพยากร การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ การส่งเสริมการกระจายรายได้และการแก้ไขปัญหาความยากจน
นโยบายการคลัง ประกอบด้วยมาตรการที่สำคัญ คือ มาตรการภาษีอากร มาตรการงบประมาณ และการใช้จ่ายของรัฐบาล และมาตรการก่อหนี้สาธารณะ มาตรการแต่ละประเภทมีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
1) มาตรการภาษีอากรรายได้ของรัฐบาล แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ รายได้ที่เป็นภาษีอากร และรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร
สำหรับรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร ได้แก่ รายได้จากการขายสิ่งของและบริการของ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าปรับ รายได้เบ็ดเตล็ดต่าง ๆ
ส่วนรายได้ที่เป็นภาษีอากร แบ่งตามลักษณะการใช้จ่ายออกเป็น 2 ชนิด คือ ภาษีอากรทั่วไป ซึ่งเมื่อรัฐบาลจัดเก็บแล้วจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ได้ กับภาษีอากรเฉพาะอย่าง ซึ่งเมื่อรัฐบาลจัดเก็บแล้วต้องใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการนั้น เช่น ภาษีประกันสังคม พรีเมี่ยมข้าว และน้ำตาล เป็นต้น
รัฐบาลจัดเก็บภาษีอากรจากฐานภาษีต่างๆ ฐานภาษีเป็นหลักที่รัฐบาลใช้เป็นแนวทางในการประเมินภาษี ฐานภาษีมีดังต่อไปนี้
1.ฐานรายได้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล
2.ฐานการบริโภค เช่น ภาษีการขาย ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีศุลกากร
3.ฐานความมั่งคั่งหรือทรัพย์สิน เช่น ภาษีที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ภาษีรถยนต์ ภาษีโรงงาน ภาษีมรดก
นอกจากนี้ในแง่โครงสร้างของภาษีแล้ว รัฐบาลอาจจัดเก็บภาษีในอัตราต่าง ๆ ก็ได้ อัตราภาษีมีอยู่ 3แบบ คือ
(1) อัตราภาษีถดถอย การเก็บอัตราภาษีแบบนี้ หมายความว่า ถ้าฐานภาษีขยายใหญ่ขึ้น จะเก็บภาษีในอัตราลดลง
(2) อัตราภาษีก้าวหน้า หมายความว่า ถ้าฐานภาษีขยายใหญ่ขึ้น จะเก็บภาษี ในอัตราคงที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราการขยายตัวของฐานภาษี
(3) อัตราภาษีตามสัดส่วน หมายความว่า ถ้าฐานภาษีขยายใหญ่ขึ้น จะเก็บภาษีในอัตราคงที่เป็นสัดส่วนเดียวกันกับฐานภาษี
การพิจารณาภาษียังจำแนกภาษีออกเป็น 2 ประเภท คือ ภาษีทางตรง และ
ภาษีทางอ้อม ทั้งนี้เพราะภาษีทั้ง 2 ประเภทมีวิธีการจัดเก็บ และมีผลกระทบต่างกัน ภาษีทางตรงมักมีวิธีการจัดเก็บจากฐานรายได้ทำให้ผู้เสียภาษีทราบจำนวนและจัดเก็บง่าย ภาษีทางตรงมีผลต่อการผลักภาระภาษีน้อยผู้เสียภาษีเป็นผู้รับภาระภาษีไว้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนภาษีทางอ้อมจะ จัดเก็บจากฐานการบริโภคหรือการซื้อขายแลกเปลี่ยน ผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระภาษีไปยัง ผู้บริโภคได้ โดยการบวกเข้าไปกับราคาสินค้า ทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น ผู้รับภาระภาษีจริง ๆ จะไม่ค่อยทราบว่าได้เสียภาษีไปเท่าใดปฏิกิริยาต่อการเสียภาษีทางอ้อมจะมีน้อยกว่าการเสียภาษีทางตรง
ตัวอย่างการเสียภาษีทางตรง ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการเดินทาง ภาษีมรดก ภาษีที่เก็บจากทุน ภาษีการให้โดยเสน่หา เป็นต้น ส่วนตัวอย่างภาษีทางอ้อม ได้แก่ ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต อากรและแสตมป์ เป็นต้น44
การจัดเก็บภาษีอากรของรัฐบาล ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการจัดเก็บฐานภาษี และภาวะเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองรัฐบาลก็สามารถจัดเก็บภาษีได้มาก ตรงกันข้าม ถ้าเศรษฐกิจถดถอยหรือตกต่ำรัฐบาลก็จัดเก็บภาษีได้น้อย รัฐบาลสามารถใช้มาตรการภาษีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจได้ เช่น เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำเกิดภาวะเงินฝืดรัฐบาอาจลดการจัดเก็บภาษีลงและเพิ่มการใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว หรือเมื่อเศรษฐกิจเกิดภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลก็อาจจัดเก็บภาษีมากขึ้นเพื่อให้ปริมาณเงินลดลง นอกจากนี้รัฐบาลยังสามารถใช้มาตรการภาษีอากรเป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้โดยการเก็บภาษีจากฐานที่ผลักภาระภาษีได้ยาก ลดการจัดเก็บภาษีที่เป็นภาระแก่ผู้มีรายได้น้อยและเพิ่มการจัดเก็บภาษีคนร่ำรวย จัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าในภาษีบางชนิด เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีทรัพย์สิน เป็นต้น ทางด้านการใช้จ่ายของ รัฐบาล ก็อาจใช้จ่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่คนส่วนมาก เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้มากขึ้น
2)มาตรการงบประมาณและการใช้จ่ายของรัฐบาล งบประมาณ เป็น แผนการเงินที่สำคัญของประเทศซึ่งแสดงให้เห็นถึงแผนรายรับและรายจ่ายในแต่ละปี ปกติ งบประมาณจะมีกำหนดเวลา 1 ปี งบประมาณรายจ่ายปกติ เรียกว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปีบางครั้ง มีงบประมาณรายจ่ายพิเศษนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี เรียกว่า งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม สำหรับประเทศไทยปีงบประมาณจะเริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ของปีถัดไป

(043)

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

 

         การบริหาร  อธิบายหมายความถึง การจัดการ  การควบคุม  การอำนวยการ  การบริหาร  และการประสานงานให้บุคคลหรือกลุ่มคน  ดำเนินกิจกรรมโดยมีผู้บริหารหรือผู้นำ  ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจพระเดชพระคุณ  โดยอาศัยศาสตร์และศิลปะในการบริหาร  สามารถนำเอาทรัพยากรหรือปัจจัยในการบริหารที่มีอยู่ทั้งหมด  ในองค์การมาประกอบการหรือดำเนินตามกระบวนการ  เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ  และพึงพอใจของทุกฝ่าย  ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า  การบริหารเป็นวิธีจัดการดำเนินงานให้ภาระกิจขององค์การบรรลุผลสำเร็จลุล่วง ไปได้ด้วย  บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมที่มีการปฏิบัติอย่างเป็น กระบวนการ
 

 

ความหมายของการบริหารทรัพยากรมนุษย์

 

        อ้างจาก วิลเลียม   เวอร์เธอร์  และเคียท  เดวิด (William  Werther &  Kiath  David)  กล่าวไว้ดังนี้
                1.  ความหมายทางด้านทรัพยากรมนุษย์  (human  resource) คือการจักการบุคลากรในองค์การ  โดยให้ความสำคัญในศักดิ์ศรี  ความเป็นคน  และต้องทำให้บุคคลเหล่านั้นได้รับผลประโยชน์อย่างเหมาะสม
                2.  ความหมายด้านการจัดการ  (management) เป็นหน้าที่ของผู้จัดการทุกคน  ฝ่ายจัดการทรัพยากรมนุษย์มีหน้าที่การให้บริการทั้งผู้จัดการและบุคลากรทั้ง หลาย  โดยต้องอาศัยการใช้ประสบการณ์ความชำนาญในการทำงาน
                3.  ความหมายทางด้านระบบ  การจัดการทรัพยากรมนุษย์จะเกิดขึ้นได้ในเมื่อองค์การมีระบบการทำงานขนาดใหญ่ มากขึ้น  ดังนั้นการจัดทรัพยากรมนุษย์คือ  การประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากร  โดยให้ความสำคัญต่อผลผลิตของบุคลากรที่ทำให้แก่องค์การ
                4.  ความหมายการเพิ่มประสิทธิภาพ  (proactive) การจัดการทรัพยากรมนุษย์คือ  ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้แก่บุคลากรทุกระดับ  นับตั้งแต่บุคลากรระดับล่างจนถึงระดับสูง  โดยจัดให้มีการทำงานแบบร่วมมือประสานงานกัน  เพื่อขจัดปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน  และทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในเป้าหมายการดำเนินงานขององค์การ
                จากความหมายดังกล่าวสรุปได้ว่า  การบริหารทรัพยากรมนุษย์เป็นศิลปะในการจัดการเกี่ยวกับตัวบุคคลในองค์การ อย่างเป็นระบบ  เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ


(032)

การจัดองค์การ คืออะไร

 การจัดองค์การเป็นหน้าที่ทางการบริหารที่สืบเนื่องจากการวางแผน เมื่อองค์การจัดทำเป้าหมาย วัตถุประสงค์ ขององค์การและแผนกลยุทธ์แล้ว ผู้บริหารต้องออกแบบโครงสร้างองค์การเพื่อให้การบริหารบรรลุเป้าหมาย

        ธงชัย สันติวงษ์ (2546, หน้า 216) กล่าวว่า การจัดองค์การ คือ หน้าที่งานที่เกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบ เพื่อให้สิ่งของและบุคคลผู้เข้ามาอยู่ในองค์การสามารถทำงานเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อเป็นประโยชน์ต่องานที่จะมีการประสานกันทำเป็นทีม 

         วรนารถ แสงมณี (2544, หน้า 3-2) ได้ให้ความหมายของการจัดองค์การ หมายถึง “ความพยายามของผู้บริหารในการกำหนดแนวทางโครงสร้างองค์การ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ในการสนับสนุนให้การดำเนินงานสามารถประสบความสำเร็จได้ตามที่วางแผนงานไว้ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้มักประกอบด้วยความสัมพันธ์พื้นฐาน 3 ประการ คือ ความรับผิดชอบ อำนาจหน้าที่ และความพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ” 

         ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ (2539, หน้า 139) กล่าวว่า การจัดองค์การ คือ กระบวนการที่กำหนด กฎ ระเบียบ แบบแผน ในการปฏิบัติงานขององค์การซึ่งรวมถึงวิธีการทำงานร่วมกัน

         กิติมา ปรีดีดิลก (2532, หน้า 26) กล่าวว่า “การจัดองค์การเป็นเทคนิคพื้นฐานการบริหารอย่างหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดโครงสร้างขององค์การนั้น ๆ ขึ้นมา เป็นการช่วยให้ทราบถึงตำแหน่งหน้าที่ สถานะและการควบคุมบังคับบัญชาอย่างกว้าง ๆ ทำให้สามารถจัดโครงสร้างเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายวัตถุประสงค์ขององค์การ”

         Robbins and Coulter (2003, p. 101) Stoner and Wankle (1986, pp. 221-222) Dessler (2004, p. 139) Koontz and Weihrich (1990, p. 134) ได้ให้ความหมายของการจัดองค์การ คือ กระบวนการในการจัดโครงสร้างขององค์การ ซึ่งครอบคลุมเรื่องการแบ่งงานการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบให้ผู้ปฏิบัติงาน การกำหนดกลุ่มงาน การกำหนดความสัมพันธ์ในสายการบังคับบัญชาและการประสานงานของหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งการจัดสรรทรัพยากรให้กับหน่วยงานต่าง ๆ การจัดองค์การจึงครอบคลุมการจัดงาน จัดคน และวัตถุประสงค์ของทั้งหมดขององค์การ 

         Robbins (1998, p. 8, pp. 194-205) กล่าวว่า การจัดองค์การ หมายถึง การแบ่งงานหรือการมอบหมายงาน การกำหนดช่วงการบริหารหรือโครงสร้างขององค์การ การกำหนดกลุ่มงาน การประสานงาน และเอกภาพในการบังคับบัญชา โดยมีรายละเอียดดังนี้

         การแบ่งงานหรือการมอบหมายงานด้วยสาเหตุ 2 ประการ กล่าวคือ ความซับซ้อนของงานไม่มีผู้ใดสามารถกระทำทุกอย่างได้ภายใต้ขอบเขตอันจำกัดของร่างกาย และ ความจำกัดของความรู้ในงานด้านต่าง ๆ บางงานต้องใช้ทักษะขั้นสูง ถ้าไม่มีความชำนาญก็ไม่สามารถจะทำงานนั้น ๆ ได้ 

          การกำหนดช่วงการบริหาร ซึ่งหมายถึง จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บริหารสามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

          การกำหนดกลุ่มงาน ทุกองค์การต้องมีหน้าที่ต้องปฏิบัติโดยบุคคลที่มีความสามารถแตกต่างกันเฉพาะงาน และบุคคลเหล่านั้นต้องประสานสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เนื่องจากความสามารถที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีกลุ่มเพื่อจะติดต่อประสานงาน เชื่อมโยงกิจกรรมของกลุ่มต่าง ๆ เราเรียกว่า ฝ่ายหรือแผนก โดยพิจารณาจากจำนวนคนของแต่ละแผนกหรือฝ่าย ภาระหน้าที่ ผลผลิตหรือบริการลูกค้า ภูมิศาสตร์หรือกระบวนการทำงาน 

          การประสานงาน หมายถึง การร่วมกันในการปฏิบัติภารกิจขององค์การให้บรรลุเป้าหมาย โดยผู้บริหารเป็นผู้กำหนดความสัมพันธ์ต่าง ๆ เพื่อให้ภารกิจขององค์การบรรลุประสิทธิผลและประสิทธิภาพ

           เอกภาพในการบังคับบัญชา ความเป็นเอกภาพของหน่วยงานมีความสำคัญ เพราะหากองค์การใดไม่มีเอกภาพ ไม่ยึดถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง ถ้าไม่มีการกำหนดผู้บังคับบัญชาที่ชัดเจน ย่อมเกิดความสับสนของผู้ใต้บังคับบัญชาและความขัดแย้งจะเกิดขึ้นในองค์การ

          นอกจากนั้น Robbins (1998, p. 112) ยังได้เสนอแนวคิดว่า องค์ประกอบโครงสร้างองค์การมี 3 ประการ คือ 
          1. ความซับซ้อน ซึ่งหมายรวมไปถึงการจำแนกแยกแยะงานหรือภารกิจต่าง ๆ ให้ชัดเจน หรือแบ่งงานกันทำ การจัดแผนก และการจัดชั้นสายการบังคับบัญชาขององค์การ
          2. การสร้างแบบมาตรฐาน หมายถึง การที่องค์การใดองค์การหนึ่งกำหนดมาตรฐาน หรือ กฎระเบียบต่าง ๆ และนำมาตรฐานหรือกฎระเบียบเหล่านั้นไปใช้ในการนำ หรือ การควบคุมพฤติกรรมของบุคลากรของตนให้ดำเนินไปในทิศทางที่ต้องการ
         3. การรวมศูนย์อำนาจ หมายถึง การรวมอำนาจการตัดสินใจไว้ที่ศูนย์กลางแห่งอำนาจภายในองค์การ เพื่อให้การตัดสินใจ สั่งการต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ

         โครงสร้างองค์การทั้ง 3 ประการ เห็นได้ชัดในองค์การแบบราชการ กล่าว คือ องค์การดังกล่าวมีการจัดแผนกหรือหน่วยงานต่าง ๆ ตามภารกิจ และจัดสรรบุคลากรเข้าทำงานในแผนกหรือหน่วยงานนั้น ๆ ตามความชำนาญพิเศษ และมีการกำหนดมาตรฐาน หรือ กฎระเบียบ ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานสำหรับบุคลากรของตน และการตัดสินใจขององค์การมักจะเป็นแบบจากบนสู่ล่างตามลำดับชั้นการบังคับบัญชา การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดจะกระทำโดยผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น

          ในองค์การแบบราชการ มีการวางนโยบายและเป้าหมายไว้อย่างกระจ่างชัด ตำแหน่งต่าง ๆ ถูกจัดวางตามลำดับชั้น การบังคับบัญชาแบบปิรามิด ผู้ที่ได้รับการเลื่อนสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในองค์การจะมีอำนาจมากขึ้น อำนาจอยู่ที่ตำแหน่งมากกว่าอยู่ที่ตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนั้น การคัดสรรบุคลากรมีพื้นฐานอยู่บนคุณสมบัติต่าง ๆ ที่องค์การต้องการ เป็นต้นว่า การศึกษาและประสบการณ์การทำงาน โดยเฉพาะการศึกษาและประสบการณ์ในด้านที่ตรงกับตำแหน่งงาน

(051)

การปฏิรูประบบราชการ คืออะไร

การปฏิรูประบบราชการ หมายถึงการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงระบบราชการให้มีความเหมาะสม และเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ระบบบริหารงานดีขึ้น ระบบราชการมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และสมรรถนะเพิ่มขึ้น และสามารถเอื้อประโยชน์ให้แก่ประชาชนและสังคมมากขึ้น
ความจริงนั้นแนวคิดในเรื่องการปฏิรูประบบราชการไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่รัฐบาล ทุกยุคทุกสมัยได้ให้ความสนใจและได้มีการดำเนินการกันมาอย่างต่อเนื่องมานานหลายทศวรรษ เนื่องจากได้ประจักษ์กันว่าระบบราชการในแต่ละยุค แต่ละสมัยมักจะมีปัญหาด้านต่าง ๆ ที่จะต้อง แก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอ
กรอบความคิดและทิศทางในการปฏิรูประบบราชการในแต่ละยุคแต่ละสมัย มักจะมีจุดเน้น และทิศทางในการปฏิรูปที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของระบบราชการ และปัจจัยแวดล้อม ทั้งภายนอกภายในของสังคมในช่วงนั้น ๆ ยิ่งในช่วงที่สังคมและปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ มีการเปลี่ยน แปลงอย่างรวดเร็วมาก ระบบราชการซึ่งเป็นกลไกหนึ่งของสังคมก็ยิ่งจำเป็นต้องปฏิรูป ปรับปรุง ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
อาจสรุปได้ว่า การปฏิรูประบบราชการไทยในปัจจุบันนี้ เป็นผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 230 ให้อำนาจรัฐบาลอย่าง กว้างขวางในการจัดตั้ง รวม หรือโอน กระทรวง ทบวง กรมขึ้นใหม่ ทำได้ง่ายกว่าในสมัยก่อน ประกอบกับการที่รัฐบาลชุดปัจจุบันมีเสียงข้างมากเกือบเด็ดขาด ทำให้มีผู้เสนอให้ปฏิรูประบบ ราชการใหม่โดยจัดแบ่งตามภารกิจ หน้าที่
2. การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอก และภายในประเทศ กดดันให้ภาครัฐ ต้องมีการปฏิรูป เพื่อให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม รวมทั้งเรียกความเชื่อถือศรัทธา ในภาครัฐกลับมาใหม่
3. การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์เกี่ยวกับองค์การ จากเดิมที่เน้นการสร้างเสถียรภาพ ความคงที่ ไม่ยืดหยุ่น มุ่งเน้นกระบวนการ และภาวะผู้นำตามลำดับขั้นการบังคับบัญชา มาเป็น องค์การที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่อง สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน ได้อย่างรวดเร็ว มีความยืดหยุ่น เปิดโอกาสให้มีการโต้แย้งได้อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงการเน้นภาวะ ผู้นำจากภายใน
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นทั้งปัจจัยผลักดัน และปัจจัยสนับสนุนให้รัฐบาลปฏิรูประบบ ราชการ โดยการปฏิรูปดังกล่าวจะครอบคลุมถึงการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงในประเด็นใหญ่ ๆ ตั้งแต่ การปรับปรุงบทบาทภารกิจหน้าที่ของรัฐ การวางระบบโครงสร้างความสัมพันธ์ของอำนาจในระดับ ต่าง ๆ การจัดโครงสร้างขององค์การ การจัดระบบราชการใหม่ให้รับใช้ตอบสนองความต้องการของ ประเทศและประชาชน ระบบบริหารและวิธีการปฏิบัติงาน ระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐ กฎระเบียบต่าง ๆ และการปรับค่านิยม วัฒนธรรมขององค์การ และพฤติกรรมของข้าราชการ
เป้าหมายของการปฏิรูประบบราชการ ก็เพื่อให้ระบบราชการใหม่มีสมรรถนะสูง เป็นระบบ ราชการที่มีผลงานและความสามารถสูง (high performance civil service) สามารถเป็นกลไกที่ สำคัญของรัฐบาลในการบริหารประเทศ เพื่อเอื้ออำนวยให้รัฐบาลที่เป็นผู้แทนประชาชน เป็นรัฐบาล ที่มีสมรรถนะและผลงานสูง (high performance government) ได้อย่างแท้จริง และเมื่อระบบราชการ ร่วมกับรัฐบาลสามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ประเทศก็จะมีระบบเศรษฐกิจที่มีสมรรถนะสูง (high performance economy) คือมีศักยภาพและความสามารถที่จะแข่งขันในระดับโลกได้ ส่งผลให้ ประชาชนทั้งประเทศมีรายได้และความเป็นอยู่ในระดับที่ดีขึ้น เป็นสังคมที่มีมาตรฐานสูง (high living-standard society) คือเป็นสังคมที่ประชาชนมีมาตรฐานในการดำรงชีวิตที่สูง เมื่อมีภาครัฐเป็นแกน นำที่ดีและเข้มแข็ง ก็จะสามารถนำสังคมโดยรวมให้มีคุณค่าทางคุณธรรมสูง (high moral-standard society) อันจะทำให้สังคมโดยรวมมีศักยภาพทางสังคมที่ทัดเทียมสังคมอารยะ
การปฏิรูประบบราชการครั้งนี้จะต้องทำให้ระบบราชการที่เป็นระบบที่มีคุณค่า เพื่อสร้าง ความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชน ภาคเอกชน และสังคมโลก ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ จะต้องสร้าง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความรู้ความสามารถ มีทัศนคติและพฤติกรรมที่เหมาะสมแก่การ ปฏิบัติงาน มีจริยธรรม ความสุจริต ความรับผิดชอบ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเป็นข้าราชการ มืออาชีพที่กล้ายืนหยัดและกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง
เป้าหมายที่สวยหรูเหล่านี้เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับสภาพความเป็นจริงของระบบราช การไทยแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายเหล่านั้นจะมีทางบรรลุได้เมื่อใด

(050)

นโยบายสาธารณะ คืออะไร

นโยบายสาธารณะ (อังกฤษpublic policy) หมายถึง แนวทางกิจกรรม การกระทำ หรือการเลือกตัดสินใจของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลได้ทำการตัดสินใจและกำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อชี้นำให้มีกิจกรรมหรือการกระทำต่าง ๆ เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ โดยมีการวางแผน การจัดทำโครงการ วิธีการบริหารหรือกระบวนการดำเนินงาน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ด้วยวิธีปฏิบัติงานที่ถูกต้อง เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และความต้องการของประชาชน ผู้ใช้บริการในแต่ละเรื่อง
นิยาม[1] 1.สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกจะกระทำหรือไม่กระทำ 2.กิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาลหรือองค์กรของรัฐจัดทำขึ้นเช่น การจัดการบริการสาธารณะ (public services ),การจัดทำสินค้าสาธารณะ (public good),การออกกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย 3.แนวทางปฏิบัติบัติที่กำหนดขึ้น เพื่อตอบสนองต่อปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หรือแนวทางที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา 4.ความคิดของรัฐที่กำหนดว่าจะทำอะไรหรือไม่ อย่างไร เพียงไร เมื่อไร 5.แนวทางกว้าง ๆ ที่รัฐบาล (ไม่ว่าจะระดับใด) กำหนดขึ้นเพื่อล่วงหน้า เพื่อเป็นการชี้นำให้เกิดการกระทำต่าง ๆ ตามมา

(034)

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

Public Administration


Public Administration

การบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์ (Public administration)คือ การดำเนินการทั้งปวงของฝ่ายบริหาร ยกเว้นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ โดยมีจุดมุ่งหมายให้นโยบายของรัฐที่วางไว้บรรลุผล อาจมองได้ทั้งเป็นการปฏิบัติการและการเป็นสาขาวิชาแขนงหนึ่ง ในการบริหารและจัดการภาครัฐ จะไม่เหมือนการบริหารธุรกิจที่เน้นกำไรสูงสุด (profit maximize) แต่เป็นการเน้นการให้บริการที่ให้ลูกค้าพึงพอใจ โดยลูกค้าก็คือ ประชาชนที่มาใช้บริการ และต้องเป็นการให้บริการต่อทุกคนอย่างเป็นธรรม
การศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับอะไรบ้าง
1.       นโยบายสาธารณะ
2.       การปฎิรูประบบราชการ
3.       องค์การกับการบริการสาธารณะ
4.       การบริหารทรัพยากรมนุษย์
5.       การคลังและงบประมาณ
6.       ธรรมาภิบาล
นโยบายสาธารณะ (public policy) หมายถึง แนวทางกิจกรรม/การกระทำ/การเลือกตัดสินใจของรัฐบาลซึ่งรัฐบาลได้ทำการตัดสินใจและกำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อชี้นำให้มีกิจกรรม/การกระทำต่างๆ เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย/วัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ โดยมรการวางแผน การจัดทำโครงการ วิธีการบริหารหรือกระบวนการดำเนินงาน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ด้วยวิธีปฏิบัติงานที่ถูกต้อง เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และความต้องการของประชาชน/ผู้ใช้บริการในแต่ละเรื่อง
การปฏิรูประบบราชการ คือ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบราชการ ตั้งแต่ บทบาทของรัฐโครงสร้างอํานาจในระดับต่างๆโครงสร้างรูปแบบองค์การ ระบบการบริหาร และวิธีการทํางาน ระบบงบประมาณระบบบริหารบุคคล กฎหมาย กฎระเบียบ วัฒนธรรมและค่านิยมการปฏิรูประบบราชการเพื่อทําให้ราชการมีสมรรถนะสูง เป็นระบบที่มีคุณภาพ และคุณธรรม  เป็นระบบราชการที่ทันสมัย ทันการณ์ มีความเป็นสากลตลอดจนเป็นกลไกการบริหาร และจัดการประเทศให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ และการปฏิรูประบบราชการจะเป็นระบบที่สร้างให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีนิสัยการทํางานอย่างผู้รู้จริง ทําจริง มีผลงาน ขยัน มีความสามารถ ซื่อสัตย์ สุจริต กล้าคิด กล้าทํา สร้างสรรค์ ปฏิบัติงานอย่าง มีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชน

อ้างอิง http://girl-next-door.exteen.com/20081226/entry-3

(039)