วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


ความหมายของการคลังการคลังเป็นการศึกษาถึงหลักการวิธีการ   จัดหารายรับ (government revenue) การใช้จ่ายของรัฐบาล (government expenditure) หนี้ของรัฐบาลหรือ        หนี้สาธารณะ (government debt or public debt) นโยบายการคลัง (fiscal policy) และการบริหารการคลัง (financial administration) ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ส่งผลต่อการใช้ทรัพยากร ภาวะการบริโภคและการผลิตของประชาชนอย่างรอบด้าน
นโยบายการคลัง
นโยบายการคลัง (
Fiscal Policy) และนโยบายการเงิน (Monetary policy) เป็นนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีความสัมพันธ์กันมากจนยากที่จะแยกออกจากกันได้ แต่ขอแยกอธิบายเพื่อประโยชน์ในการทำความเข้าใจดังนี้
1.นโยบายการคลัง
นโยบายการคลังเป็นนโยบายทางด้านรายรับและรายจ่ายของรัฐบาลรายรับของรัฐบาลได้มาจากการเก็บภาษีอากร เงินกู้และเงินคงคลัง ส่วนรายจ่าย ได้แก่ การใช้จ่ายต่าง ๆ ของรัฐในแต่ละปี รัฐบาลจะประมาณการ รายรับและรายจ่ายของปีต่อไป ไว้ล่วงหน้า เรียกว่า งบประมาณประจำปี การคลังของรัฐบาลจะแตกต่างจากการคลังของเอกชนเพราะการคลังของ รัฐบาลจะกำหนดรายจ่ายเป็นตัวตั้ง ถ้ารายได้ไม่พอกับรายจ่ายหรือขาดดุลการคลังรัฐบาลก็จะ ก่อหนี้มาชดเชยหรือนำเงินคงคลังออกมาใช้ การก่อหนี้สาธารณะ ถ้ารัฐบาลก่อหนี้โดยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มก็จะเป็นการเพิ่มปริมาณเงิน ทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง อาจเกิดภาวะเงินเฟ้อได้ การดำเนินนโยบายการคลังจะมีผลกระทบต่อปริมาณเงินของประเทศด้วย
รายได้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลได้มาจากการจัดเก็บภาษีอากรซึ่งมีผลกระทบต่อ การบริโภค การผลิตสินค้าและการกระจายรายได้ของประชาชน ส่วนการใช้จ่ายต่าง ๆ ของรัฐบาลก็จะมีผลกระทบต่อการผลิต การจ้างแรงงาน และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การดำเนินนโยบายการคลังมีความสำคัญเพราะมีผลกระทบต่อสาธารณะเป็นอย่างมาก43 นโยบายการคลังเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล มักใช้ควบคู่กับนโยบายการเงินเสมอ อย่างไรก็ดี โดยตัวของนโยบายการคลัง อาจเป็นปัญหาสำคัญทาง
เศรษฐกิจได้ถ้ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมรายได้และรายจ่ายให้บังเกิดผลตามที่ต้องการโดยเฉพาะปัญหาในเรื่องการขาดดุลต่าง ๆ
การใช้นโยบายการคลัง และนโยบายการเงินของรัฐบาล มีจุดมุ่งหมายอันเดียวกับนโยบายเศรษฐกิจ คือ ต้องมีการให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการจัดสรรทรัพยากร การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ การส่งเสริมการกระจายรายได้และการแก้ไขปัญหาความยากจน
นโยบายการคลัง ประกอบด้วยมาตรการที่สำคัญ คือ มาตรการภาษีอากร มาตรการงบประมาณ และการใช้จ่ายของรัฐบาล และมาตรการก่อหนี้สาธารณะ มาตรการแต่ละประเภทมีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
1) มาตรการภาษีอากรรายได้ของรัฐบาล แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ รายได้ที่เป็นภาษีอากร และรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร
สำหรับรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร ได้แก่ รายได้จากการขายสิ่งของและบริการของ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าปรับ รายได้เบ็ดเตล็ดต่าง ๆ
ส่วนรายได้ที่เป็นภาษีอากร แบ่งตามลักษณะการใช้จ่ายออกเป็น 2 ชนิด คือ ภาษีอากรทั่วไป ซึ่งเมื่อรัฐบาลจัดเก็บแล้วจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ได้ กับภาษีอากรเฉพาะอย่าง ซึ่งเมื่อรัฐบาลจัดเก็บแล้วต้องใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการนั้น เช่น ภาษีประกันสังคม พรีเมี่ยมข้าว และน้ำตาล เป็นต้น
รัฐบาลจัดเก็บภาษีอากรจากฐานภาษีต่างๆ ฐานภาษีเป็นหลักที่รัฐบาลใช้เป็นแนวทางในการประเมินภาษี ฐานภาษีมีดังต่อไปนี้
1.ฐานรายได้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล
2.ฐานการบริโภค เช่น ภาษีการขาย ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีศุลกากร
3.ฐานความมั่งคั่งหรือทรัพย์สิน เช่น ภาษีที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ภาษีรถยนต์ ภาษีโรงงาน ภาษีมรดก
นอกจากนี้ในแง่โครงสร้างของภาษีแล้ว รัฐบาลอาจจัดเก็บภาษีในอัตราต่าง ๆ ก็ได้ อัตราภาษีมีอยู่ 3แบบ คือ
(1) อัตราภาษีถดถอย การเก็บอัตราภาษีแบบนี้ หมายความว่า ถ้าฐานภาษีขยายใหญ่ขึ้น จะเก็บภาษีในอัตราลดลง
(2) อัตราภาษีก้าวหน้า หมายความว่า ถ้าฐานภาษีขยายใหญ่ขึ้น จะเก็บภาษี ในอัตราคงที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราการขยายตัวของฐานภาษี
(3) อัตราภาษีตามสัดส่วน หมายความว่า ถ้าฐานภาษีขยายใหญ่ขึ้น จะเก็บภาษีในอัตราคงที่เป็นสัดส่วนเดียวกันกับฐานภาษี
การพิจารณาภาษียังจำแนกภาษีออกเป็น 2 ประเภท คือ ภาษีทางตรง และ
ภาษีทางอ้อม ทั้งนี้เพราะภาษีทั้ง 2 ประเภทมีวิธีการจัดเก็บ และมีผลกระทบต่างกัน ภาษีทางตรงมักมีวิธีการจัดเก็บจากฐานรายได้ทำให้ผู้เสียภาษีทราบจำนวนและจัดเก็บง่าย ภาษีทางตรงมีผลต่อการผลักภาระภาษีน้อยผู้เสียภาษีเป็นผู้รับภาระภาษีไว้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนภาษีทางอ้อมจะ จัดเก็บจากฐานการบริโภคหรือการซื้อขายแลกเปลี่ยน ผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระภาษีไปยัง ผู้บริโภคได้ โดยการบวกเข้าไปกับราคาสินค้า ทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น ผู้รับภาระภาษีจริง ๆ จะไม่ค่อยทราบว่าได้เสียภาษีไปเท่าใดปฏิกิริยาต่อการเสียภาษีทางอ้อมจะมีน้อยกว่าการเสียภาษีทางตรง
ตัวอย่างการเสียภาษีทางตรง ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการเดินทาง ภาษีมรดก ภาษีที่เก็บจากทุน ภาษีการให้โดยเสน่หา เป็นต้น ส่วนตัวอย่างภาษีทางอ้อม ได้แก่ ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต อากรและแสตมป์ เป็นต้น44
การจัดเก็บภาษีอากรของรัฐบาล ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการจัดเก็บฐานภาษี และภาวะเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองรัฐบาลก็สามารถจัดเก็บภาษีได้มาก ตรงกันข้าม ถ้าเศรษฐกิจถดถอยหรือตกต่ำรัฐบาลก็จัดเก็บภาษีได้น้อย รัฐบาลสามารถใช้มาตรการภาษีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจได้ เช่น เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำเกิดภาวะเงินฝืดรัฐบาอาจลดการจัดเก็บภาษีลงและเพิ่มการใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว หรือเมื่อเศรษฐกิจเกิดภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลก็อาจจัดเก็บภาษีมากขึ้นเพื่อให้ปริมาณเงินลดลง นอกจากนี้รัฐบาลยังสามารถใช้มาตรการภาษีอากรเป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้โดยการเก็บภาษีจากฐานที่ผลักภาระภาษีได้ยาก ลดการจัดเก็บภาษีที่เป็นภาระแก่ผู้มีรายได้น้อยและเพิ่มการจัดเก็บภาษีคนร่ำรวย จัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าในภาษีบางชนิด เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีทรัพย์สิน เป็นต้น ทางด้านการใช้จ่ายของ รัฐบาล ก็อาจใช้จ่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่คนส่วนมาก เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้มากขึ้น
2)มาตรการงบประมาณและการใช้จ่ายของรัฐบาล งบประมาณ เป็น แผนการเงินที่สำคัญของประเทศซึ่งแสดงให้เห็นถึงแผนรายรับและรายจ่ายในแต่ละปี ปกติ งบประมาณจะมีกำหนดเวลา 1 ปี งบประมาณรายจ่ายปกติ เรียกว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปีบางครั้ง มีงบประมาณรายจ่ายพิเศษนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี เรียกว่า งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม สำหรับประเทศไทยปีงบประมาณจะเริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ของปีถัดไป

(043)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น